ฝากประชาสัมพันธ์

ฝากประชาสัมพันธ์

ข่าวงานราชการเปิดสอบ 2562-2563

ค้นหา

ติดตามข่าวงานราชการที่นี่งานมากที่สุด

  Youtube: iqepin LINE it! เพิ่มเพื่อน  

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บัดนี้ - เขตเศรษฐกิจพิเศษ

""

ลิงค์: http://iqepi.com/19168/ หรือ
เรื่อง: เขตเศรษฐกิจพิเศษ
**ไม่ต้องผ่านภาค ก. ก.พ.**
---


เกี่ยวกับ การจัดตั้ง เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อรองรับ AEC โดยการนำเสนอของกระทรวงการคลัง มีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) กำกับดูแลการดำเนินการของเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นไปตามนโยบาย สำหรับการเตรียมสอบงานราชการจะไม่ทราบเรื่องนี้เลยก็คงจะไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบในหลายๆ ด้าน ก็อ่านไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเครียด เก็บสะสมข้อมูลพอให้ทราบ เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะมีการเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะทราบข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว



จาก การที่ประเทศไทยจะ เข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558 เพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนดังกล่าว รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ในจังหวัดต่างๆ ตามแนวชายแดน



เขตเศรษฐกิจพิเศษคืออะไร



เขตเศรษฐกิจพิเศษ  หมายถึง เขตพื้นที่ที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะตามกฎหมาย เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมสนับสนุน และอำนวยความสะดวก รวมทั้งให้สิทธิพิเศษบางประการในการดำเนินกิจการต่างๆ เช่น การอุตสาหกรรม การพาณิชยกรรม การบริการ หรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ



สิทธิ ประโยชน์ที่ผู้ ประกอบการอุตสาหกรรม การพาณิชยกรรม หรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่การเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับอยู่แล้วตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน  ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520  การนิคมอุตสาหกรรม ตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522  และเขตปลอดอากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช 2496   โดยมีสาระสำคัญการให้สิทธิประโยชน์ ดังนี้



การ จัดตั้งเขต เศรษฐกิจพิเศษ ควรออกเป็นพระราชบัญญัติเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 และพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 โดยการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช 2496  เพิ่มบทบัญญัติในหมวด 10 ตรี “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” การจัดตั้งให้ออกเป็นประกาศกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และผู้ที่ประกอบการในเขตดังกล่าวได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดี่ยวกับผู้ได้รับ การส่งเสริมการลงทุน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520  ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ตามพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522  และผู้ประกอบการในเขตปลอดอากร  ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พระพุทธศักราช 2469  ตามรายละเอียดที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น



ประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 



การ ที่ประเทศไทยจะ เข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 และประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อประเทศไทย เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน ของสินค้าไทยในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีประโยชน์ที่จะได้รับ ดังนี้




  1. เป็นการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ เพราะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน


  2. เป็นการส่งเสริมการส่งออก เพราะช่วยลดต้นทุนในการประกอบการต่างๆ เช่น ค่าแรงงานราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน


  3. เป็นการส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตสินค้าจากต่างประเทศเข้าดำเนินการในประเทศไทย


  4. เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าจากประเทศไทย และประเทศต่างๆ ไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศอื่นๆ


  5. ก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย ที่มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ





สาระสำคัญร่าง พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ.2548



1.เขต พิเศษ หมายถึง พื้นที่เฉพาะที่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมสนับสนุน อำนวยความสะดวก รวมทั้งให้สิทธิพิเศษบางประการในการดำเนินกิจการต่างๆ ภายในเขตพื้นที่ เช่น การอุตสาหกรรม การเกษตรกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว การบริหาร หรือการอื่นใด และยังเป็นการพัฒนาต้นแบบการบริหารจัดการที่ดี



***2.ให้ มีคณะกรรมการนโยบายเขตพิเศษ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบายเขตพิเศษและการตั้งเขตพิเศษแต่ละแห่งต่อคณะ รัฐมนตรี รวมทั้งกำกับดูแลการดำเนินการของเขตพิเศษให้เป็นไปตามนโยบาย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพิเศษ ซึ่งมีสถานะเป็นองค์การมหาชน ทำหน้าที่ศึกษาถึงรายละเอียดที่จะตั้งเขตพิเศษ รวมทั้งเป็นฝ่ายวิชาการและธุรการให้คณะกรรมการนโยบายฯ



3.กำหนดให้มีกระบวนการจัดตั้งเขตพิเศษ การบริหารจัดการเขตพิเศษแต่ละเขตรายได้และอำนาจหน้าที่ของเขตพิเศษ



***4.เขต พิเศษอาจได้มาซึ่งที่ดิน/อสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ในการดำเนินงาน โดยจัดหาเอง เช่น ซื้อ เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน เช่าระยะยาว เวนคืน ให้เอกชนนำที่ดินมาร่วมลงทุน เป็นต้น หรือได้มาโดยผลของกฎหมาย เช่น ให้ พรฏ.จัดตั้งเขตพิเศษมีผลเป็นการถอนสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินในเขตที่กำหนด เป็นเขตพิเศษ และให้ตกเป็นของเขตพิเศษ โดยไม่ต้องดำเนินการตามกฎหมายที่ดิน



***5.กรณี ที่กฎหมายกำหนดให้การดำเนินการในเรื่องใดเป็นอำนาจของหน่วยงาน ของรัฐหรือคณะกรรมการตามกฎหมาย ให้เขตพิเศษมีอำนาจดำเนินการได้เช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐนั้น และให้ถือว่าผู้ว่าการเขตพิเศษเป็นและมีอำนาจเช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตาม กฎหมายนั้น



6.การดำเนินการเรื่องใดที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาต จากหน่วยงานของ รัฐ เขตพิเศษมีอำนาจดำเนินการได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้สำหรับผู้ขออนุญาตตามกฎหมายนั้น



7.ถ้าเขตพิเศษ เห็นว่าหลักเกณฑ์ วิธีการเงื่อนไขที่กำหนดไว้สำหรับผู้ขออนุญาตตามกฎหมายใดเป็นอุปสรรคแก่ผู้ ประกอบการ/ผู้อยู่อาศัย ให้รายงานคณะกรรมการนโยบายเพื่อนำเสนอ ครม.ปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ ยกเว้นกิจการที่อยู่ในอำนาจของ กทช.และ กสช



8.ถ้าพื้นที่ของเขตพิเศษครอบคลุมป่าสงวนแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติ และเขตพิเศษนั้นมีวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวต้องสอดคล้องกับแผนและแนวทาง การดำเนินงานของเขตพิเศษ



9.เขตพิเศษมีอำนาจให้บริการแก่ผู้ประกอบ ธุรกิจ/อยู่อาศัย เช่น อนุมัติ ออกใบอนุญาต แทนหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายภายในพื้นที่เขตพิเศษ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งค่าธรรมเนียมหลังจากหักค่าใช้จ่ายไว้ไม่เกินร้อยละ 10 ให้ส่งเป็นรายได้ของหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมาย ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายนั้นกำหนด และเมื่อดำเนินการแล้วต้องแจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายทราบ



10.ให้ เขตพิเศษมีอำนาจเช่นเดียวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในพื้นที่ เขตพิเศษ และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้ โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เมื่อดำเนินการแล้วต้องแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ ค่าธรรมเนียมหลังจากหักค่าใช้จ่ายไว้ไม่เกินร้อยละ 10 ให้ส่งเป็นรายได้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น



11.กรณีหน่วยงานของรัฐหรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเห็นว่าการดำเนินการ ของเขตพิเศษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้แจ้งเขตพิเศษเพื่อแก้ไข ถ้าเขตพิเศษไม่ดำเนินการให้เสนอคณะกรรมการนโยบายเพื่อวินิจฉัย



12.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกรรมการ โดยตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารเขตพิเศษ



13.ผู้ประกอบการ/ผู้อยู่อาศัยในเขตพิเศษมีสิทธิ



(1) ได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิต และค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน



(2) การลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล



(3) หักค่าใช้จ่ายก่อนการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานอกจากที่กำหนดในประมวลรัษฎากร



(4) นำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่และทำงานในราชอาณาจักร



(5) สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินของคนต่างด้าว



(6) สิทธิในการถือครองหรือเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศ



(7) สิทธิในการนำหรือส่งเงินออกไปนอกราชอาณาจักร



ข้อท้วงติงของแต่ละหน่วยงาน



=กระทรวงการคลัง



การ กำหนดให้เขตเศรษฐกิจพิเศษมีอำนาจดำเนินการได้เช่นเดียวกับหน่วยงานของ รัฐ หรือคณะกรรมการตามกฎหมายใดเป็นการเฉพาะนั้น อาจทำให้การพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตขาดการพิจารณาจากหน่วยงานที่มีความ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และควรกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ



=กระทรวงกลาโหม



เห็น ควรตัดร่างมาตรา 62 (1) (2) มาตรา 64, 65 และ 66 ออก เนื่องจากกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และตัดร่างมาตรา 88 และไม่สมควรกำหนดตามร่างมาตรา 99 เพราะอาจจะขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 36 วรรคแรก



=กระทรวงวัฒนธรรม



ควรเพิ่มบทบัญญัติเพื่อปกป้องคุ้มครองโบราณสถาน และควรเพิ่มผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรมในคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจพิเศษด้วย



การ จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีฐานะเป็น องค์กรมหาชน จะต้องไม่เป็นกิจการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร แต่เขตเศรษฐกิจพิเศษมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีลักษณะเป็นการแสวงหากำไร



=กระทรวงสาธารณสุข



การกำหนดให้ ผู้ว่าการเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต หรือให้ความเห็นชอบ หรือเป็นผู้มีอำนาจในการรับจดทะเบียนหรือรับแจ้งตามกฎหมายอื่นด้วยนั้น ควรมีการประเมินความคิดเห็นของทุกฝ่ายให้รอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกครองส่วนท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ



=สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี



ร่าง กฎหมายดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ตาม พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ถ้าหากพื้นที่ของ อปท.ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ



=สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ



กฎหมาย ฉบับนี้ให้อำนาจที่จะให้มีการถมทะเลได้ ซึ่งนอกจากจะศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ควรต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมก่อน



=องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์กรมหาชน)



เห็น ควรให้กำหนดการให้สิทธิพิเศษในการดำเนินกิจการตามร่างมาตรา 4 แต่เฉพาะ "การอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง" เท่านั้น โดยควรตัดข้อความ "การท่องเที่ยว การบริการ และการอื่นใด" ออก



และใน ส่วนอำนาจหน้าที่ที่ซ้ำซ้อนกับส่วนราชการอื่น ควรมีบทบัญญัติกำหนดให้มีการบูรณาการความร่วมมือและประสานงานเพื่อใช้อำนาจ หน้าที่ร่วมกัน







 6 ใน 12 เขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย



  













ความเห็นของภาคเอกชน : การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน




ยุทธศาสตร์ การ พัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการขนส่งของภูมิภาคเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ โดยภาครัฐได้มีการร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจชายแดน โดยวัตถุประสงค์สำคัญจะเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ตามตะเข็บของชายแดน ซึ่งประเทศไทยมีชายแดนติดต่อกับหลายประเทศ ได้แก่ พม่า , ลาว , กัมพูชา ซึ่งหากรวมภาคใต้ก็จะมีมาเลเซีย โดยเหตุผลสำคัญประเทศไทยต้องการพัฒนาพื้นที่เขตลงทุนอุตสาหกรรมและพาณิชยก รรมให้เป็นประตูรองรับการเชื่อมโยงโครงการ ไม่ว่าจะเป็น GMS : Great Makong Subregion ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ธนาคารแห่งเอเชีย ADB Bank 



โดย เฉพาะต้องการ เชื่อมโยงกับประเทศจีนตอนใต้ โดยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนที่น่าจะเป็นรูปธรรมน่าจะเป็นโครงการพัฒนา พื้นที่ทางส่วนเหนือของจังหวัดเชียงราย อาจจะเป็นที่แม่สายหรือที่อำเภอเชียงของ ซึ่งจะมีเส้นทางเชื่อมโยงกับเมืองเชียงรุ่งและเมืองคุนหมิง ซึ่งอยู่ในมณฑลยูนานของประเทศจีนตอนใต้  สำหรับโครงการนำร่องเศรษฐกิจชายแดนอีกแห่งหนึ่งน่าจะเป็นบริเวณชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กับเมืองเมียวดี ของพม่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้โครงการเขตเศรษฐกิจชายแดนกลายเป็นประเด็นในปัจจุบันก็ เนื่องจากรัฐบาลต้องการจะให้มีการส่งเสริมการลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือจากนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้ง นักลงทุนท้องถิ่นให้มาลงทุนในบริเวณพื้นที่ซึ่งรัฐบาลจะจัดสรร ตามตะเข็บชายแดน โดยการใช้ประโยชน์จากแรงงานต่างด้าวที่จะสามารถเข้ามาทำงานได้แบบเช้าไปเย็น กลับ อีกทั้งจะสามารถนำเข้าวัตถุดิบและส่งออกได้โดยเสรี



นอก จากนี้ จะเป็นแหล่งรองรับการเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน (Labour Insentive) และอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะวัตถุดิบประเภทไม้ โดยผู้ที่ลงทุนในเขตอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจชายแดนจะได้รับสิทธิประโยชน์จาก การยกเว้นภาษีนำเข้า , การยกเว้นภาษีเงินได้ รวมถึงการตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนและศูนย์กระจายสินค้าด้าน Logistics



โดยผู้ที่ลงทุนในเขตเศรษฐกิจชายแดนจะมีลักษณะแตกต่างไปจากนิคมอุตสาหกรรมโดยทั่วไปก็ตรงที่ ในเขตเศรษฐกิจชายแดน จะถือเป็นดินแดนพิเศษ ดูแลและบริหารโดยคณะกรรมการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วย กรรมการจากคนท้องถิ่น 6 คน และกรรมการจากภาครัฐอีก 4 คน ทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร โดยมีอำนาจในการจัดตั้งองค์กรมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการพัฒนาพื้นที่และการใช้ ประโยชน์ของพื้นที่ป่าไม้หรือป่าชุมชน โดยคณะกรรมการมีสิทธิที่จะนำที่ดินเหล่านั้นมาจัดสรรให้กับเอกชนไม่ว่าจะ เป็นสัญชาติไทยหรือต่างชาติ สามารถทำสัญญาเช่าเป็นระยะเวลาได้ถึง 99 ปี



เกี่ยวกับเรื่องเขตเศรษฐกิจชายแดน  มีผู้วิพากษ์ทั้งข้อดีและข้อเสีย หากมองในแง่ประโยชน์แล้วก็จะสามารถทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาบริเวณชายแดน ไม่ว่าจะเป็นที่แม่สอด หรือที่เชียงราย หรือจังหวัดหนองคาย หรือในอีกหลายที่ให้สามารถสร้างเป็นเขตอุตสาหกรรม โดยประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการใช้แรงงานประเทศเพื่อนบ้านเป็นการแก้ปัญหา การขาดแคลนแรงงานไร้ทักษะ และแก้ปัญหาการทะลักเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลางของแรงงานต่างด้าว



ส่วนข้อเสียนั้น มีผู้วิจารณ์ที่หลากหลายว่าจะเป็นการเสียอำนาจอธิปไตยหรือการให้อำนาจคณะ กรรมการมากเกินไปในการเวนคืนที่ดิน ถึงแม้ว่า จะมีกรรมการจากท้องถิ่น จะเป็นกรรมการที่จะรักษาความถูกต้อง แต่เรื่องของผลประโยชน์นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นกรรมการจากคนท้องถิ่นหรือเป็นคนภายนอก หากเป็นผลประโยชน์ซึ่งลงตัวกันแล้ว ก็ฮั้วกันได้ทั้งสิ้น นอกจากนี้ การให้ระยะเวลาเช่าที่ยาวเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศจีนหรือประเทศเวียดนาม ซึ่งมีระยะเวลาให้เช่าที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมไม่เกิน 50 ปี



อย่างไรก็ดี ข้อที่ควรพิจารณา หากเป็นนักลงทุนชาวจีน ซึ่งในประเทศของเขามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง , ค่าที่ดิน วัตถุดิบ อะไรเป็นเหตุจูงใจให้อยากมาลงทุนในเขตเศรษฐกิจชายแดนที่ตอนเหนือของเชียงราย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเครื่องหมายสำคัญ ก็คือ แหล่งกำเนิดสินค้าในประเทศไทย “Thailand of Origin” เพื่อจะได้นำสินค้าเข้าไปในอาเซียนหรือไปแย่งตลาดของไทยเองในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจีนกำลังมีปัญหาในเรื่องของโควตาสินค้า ซึ่งเกิดจากการถูกกดดันเกี่ยวกับค่าเงินหยวน



ดัง นั้น การพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ จึงขอให้มีความรอบคอบ โดยข้อเท็จจริงแล้วประเทศไทยเองก็มีกฎหมายหลายฉบับไม่ว่าจะเป็นร่าง พรบ. เขตปลอดอากร , เขตอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก (EPZ : Export Processing Zone) หรือเขต Free Zone ก็ ล้วนแต่ให้สิทธิใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ไม่ว่าจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน ของ สปป.ลาว , เขตเศรษฐกิจพิเศษลาวบาว ของเวียดนาม , หรือที่มณฑลกวางสี, เมืองฉงชิ่ง , เมืองเซินเจิ้น ฯลฯ ในประเทศจีน ซึ่งล้วนเป็นประเทศซึ่งมีระบบปกครองเป็นสังคมนิยม เอกชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดิน รัฐจึงสามารถจัดสรรให้กับต่างชาติเช่าได้



แต่ กรณีของประเทศ ไทย เป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมีความแตกต่างกัน ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจพิเศษชายแดนนี้คงต้องมีการถกเถียง ทั้งส่วนของผู้ที่เห็นด้วย กับผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือมีความคิดแตกต่างกันไป แต่ทราบว่ารัฐบาลก็มีงบประมาณกว่า 1,300 ล้าน  ในการเตรียมพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนที่เชียงราย  หากคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศแล้วก็ทำไป แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นของคนใดคนหนึ่ง เพียงแต่ขอให้คิดให้รอบคอบเพราะมีผลต่อลูกหลาน ทุกคนก็เกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น ผลประโยชน์ที่ได้มาก็คงไม่มีใครที่จะแบกไปกับตนได้ เหลือเพียงแต่คุณความดีหรือการสาปแช่งเท่านั้น...



 






นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม



แผนโครงสร้างพื้นฐานเขต ศก.พิเศษของไทย



เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมในการประชุมคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่าน ศุลกากร ในวันที่ 18 ส.ค.นี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาแผนและลำดับความสำคัญการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แผนปรับปรุงด่านศุลกากร/ด่านชายแดน และแผนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมในพื้นที่พัฒนาและจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานมอบหมายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้



ทั้งนี้ เป้าหมายในปี 2557-2558 จะมีการจัดตั้งเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้สมบูรณ์โดยพัฒนาพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพ ได้แก่ 1.ด่าน แม่สอด จ.ตาก    2.ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว    3.ด่านหาดเล็ก (ท่าเรือคลองใหญ่) จ.ตราด   4.ด่านมุกดาหาร    5.ด่านสะเดา  6.ด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา   ส่วนที่เหลืออีก 12 ด่านจะทยอยดำเนินการในระยะต่อไป



อย่าง ไรก็ตาม นอกจากคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร จะพัฒนาโครงข่ายพื้นฐานทั้งบก น้ำ อากาศ รางให้เชื่อมโยงกับ 6 ด่านชายแดนอย่างสะดวกแล้ว จะต้องดูเรื่องการปรับปรุงด่านศุลกากร ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ด่านทั้งน้ำประปา ไฟฟ้า ให้ครอบคลุม รวมไปถึงการบริหารจัดการที่ด่าน ซึ่งในภาพรวมหน่วยงานของคมนาคม ได้มีแผนโครงข่ายเชื่อมโยงแต่ละด่านไว้แล้ว และพร้อมดำเนินการทันที




 





             รายงานข่าวว่าเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ได้มีการประชุมครั้งที่ 1/2557 ณ กองบัญชาการกองทัพบก โดยมีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นประธานการประชุมสรุปสาระสาคัญของผลการประชุมได้ดังนี้



            1. ที่ประชุมคณะกรรมการ กนพ. รับทราบความก้าวหน้าการดาเนินงานของ สศช.ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้แก่ (1) ศึกษาเพื่อวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระดับประเทศและระดับพื้นที่ (2) หารือร่วมกับหน่วยงานในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ มาตรการสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าว (3) เตรียมความพร้อม สร้างความเข้าใจและการรับฟังความความคิดเห็นของภาคส่วนการพัฒนาในพื้นที่ชายแดน (4) ศึกษาตัวอย่างรูปแบบการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในต่างประเทศ (5) สำรวจพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพและโอกาสการเชื่อมโยงไปยังประเทศในภูมิภาคและ (6) ประสานความร่วมมือในระดับทวิภาคีกับประเทศกัมพูชาและประเทศมาเลเซียในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน



            2. ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบพื้นที่ที่มีศักยภาพเหมาะสมในการจัดตั้งเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกของไทยใน 5 พื้นที่ชายแดน เพื่อให้สามารถก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2558 ได้แก่ (1) แม่สอด (2) อรัญประเทศ (3) ตราด (4) มุกดาหาร (5) สะเดา (ด่านศุลกากรสะเดาและปาดังเบซาร์) โดย เน้นการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของ ประเทศ ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มการจ้างงานและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชน แก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามายังพื้นที่ตอนใน ปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน และปัญหาความแออัดบริเวณด่านชายแดน





            3. ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 เรื่อง ได้แก่ (1) สิทธิประโยชน์สาหรับการลงทุน (2) การให้บริการจุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จ (3) มาตรการสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าว และ (4) การ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรในพื้นที่ เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจและเชื่อมโยงประเทศใน ภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ



            4. ที่ประชุมได้อนุมัติให้ตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ชุดเพื่อเสนอแนวทางการดาเนินงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายให้ กนพ. พิจารณาภายในเดือนสิงหาคม 2557 ได้แก่



                        (1) คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ ขอบเขตพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน เสนอขอบเขตและจัดหาพื้นที่ สิทธิประโยชน์ และแผนพัฒนาระบบบริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน ปลัด กค. เป็นประธาน/ ผอ.สศค.เป็นเลขานุการ/สกท.และสศช. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ



                        (2) คณะอนุกรรมการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุข และความมั่นคงเสนอแนวทางจัดระบบการจ้างแรงงานต่างด้าว การพัฒนาฝีมือแรงงาน และแผนการจัดตั้ง One  Stop Service แรงงานต่างด้าว ปลัดรง.เป็นประธาน/รง.เป็นฝ่ายเลขานุการ/สศช. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ



                        (3) คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรเสนอแผนและลาดับความสาคัญการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แผนปรับปรุงด่านศุลกากร/ด่านชายแดน และแผนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ปลัด คค. เป็นประธาน/ผอ.สนข.เป็นเลขานุการ/กรมศุลกากรและ สศช. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ






            5. ให้ สศช. ทาการประเมินผลการดาเนินงานตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5 พื้นที่ (ตุลาคม 2557-ธันวาคม 2558) ในลักษณะ ก่อน-หลัง ในประเด็นดังนี้ (1) ความก้าวหน้าการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (2) ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ(3) ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง (4) ความพึงพอใจของภาคส่วนต่างๆ (5) ปัญหา อุปสรรคและแนวทางแก้ไขปรับปรุงเพื่อการปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องมี ประสิทธิภาพ และก่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศทั้งนี้เพื่อใช้ประกอบในการพัฒนาและจัดตั้ง เขตเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไปให้มีประสิทธิภาพ



ระยะที่ 2



จาก การรายงานข่าวว่าทางภาครัฐและเอกชนเชียงรายได้ข่าวดีหลังจากประชุม ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จ.เชียงราย  มีการแจ้งในที่ประชุมว่าล่าสุด คสช.ได้กำหนดให้ จ.เชียงราย พร้อมด้วย จ.กาญจนบุรี จ.หนองคาย จ.นครพนม และ จ.นราธิวาส เป็นจังหวัดที่จะได้รับการพัฒนาในระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป โดยให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทำการศึกษาและเก็บข้อมูล ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.)





นาย จักรกฤช ธรรมศิริ รองผู้จัดการโครงการศึกษายุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ กล่าวว่าเชียงรายโชคดีที่เป็นกลุ่มจังหวัดที่จะพัฒนาเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจ พิเศษในเฟส 2 เพราะจะได้รับทราบปัญหาจากกลุ่มจังหวัดแรกๆ และสามารถใช้เป็นข้อศึกษาได้อย่างละเอียดมากขึ้น โดยคณะจะเริ่มลงพื้นที่ จ.เชียงรายตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. 57 เป็นต้นไป เพื่อเก็บข้อมูลอย่างรอบด้านทุกเรื่องตามนโยบายของ คสช.ที่เน้นให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เริ่มจากการรับฟังความเห็นตั้งแต่กลางดือน ส.ค.-ก.ย. 57 และมีการศึกษาอย่างละเอียดครอบคลุมเรื่องผลกระทบในด้านต่างๆ ด้วย ส่วนเขตพื้นที่ที่จะจัดตั้งก็จะพิจารณาตามเขตการปกครองคือตำบล อำเภอ จังหวัด ซึ่งทำให้ง่ายขึ้นอีก



 





ใน การประชุมได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชียง ของ-เด่นชัย ที่มีการผลักดันกันมานานนั้น ล่าสุด คสช.ได้ให้ความเห็นชอบแนวทางการพัฒนาเป็นระบบรถไฟทางคู่ในอนาคต โดยใช้ขนาดทางมาตรฐาน 1.435 เมตร (Standgard Gauge) รถไฟขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ความเร็ว 160 กม./ชม. เป็น 1 ใน 2 โครงการ ในระยะเร่งด่วนแล้ว โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นำผลศึกษารถไฟความเร็วสูงเดิมมาศึกษาทบทวนเพื่อต่อยอดการออกแบบให้สัมพันธ์ กับแนวทางดังกล่าว ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงจากจีน-ลาว-ไทย-มาเลเซีย





      



ที่ ประชุม กรอ.เชียงรายครั้งนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งแลนด์มาร์กของ จ.เชียงราย เบื้องต้นกำหนดใช้สถานที่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง ก่อนถึงวัดร่องขุ่น เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ และทางนายวิรุณ คำภิโล ที่ปรึกษาหอการค้า จ.เชียงราย แจ้งว่า หอการค้า จ.เชียงรายจะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมหอการค้าทั่วประเทศในวันที่ 21-23 พ.ย.นี้ที่ มฟล. คาดว่าจะมีผู้เข้าไปร่วมงานทุกฝ่ายประมาณ 4,500-5,000 คน



 




ดาวน์โหลดประกาศรับสมัครสอบ คลิกที่นี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น